ผู้ผลิต | ประวัติศาสตร์นอกตำรา |
เรื่องย่อ |
นานกว่า 2 ศตวรรษแล้วที่ จอห์น สมิธ นายทหารชาวอังกฤษ ได้เข้ามาล่าเสือที่เทือกเขาอชันตา แห่งรัฐมหาราษฎร์ ทางตะวันตกเฉียงใต้ของอินเดียในปี พ.ศ. 2362 ตรงกับช่วงปลายสมัย ร. 2 ของไทย เหตุการณ์คราวนั้นนำมาสู่เหตุการณ์ครั้งสำคัญโดยบังเอิญ นั่นคือการค้นพบกลุ่มคูหาถ้ำจำนวนมาก ทั้งเถรวาท และมหายานที่เก่าแก่และใหญ่ที่สุดในโลกมีอายุกว่า 2,000 ปีล่วงมาแล้ว แต่ละคูหาถ้ำล้วนเต็มไปด้วยความงดงามอลังการทั้งสถาปัตยกรรม และจิตรกรรม แต่ที่สำคัญกว่านั้น คือการช่วยเติมเต็มเรื่องราวทางพุทธศาสนาในดินแดนชมพูทวีปให้มีความสมบูรณ์มากยิ่งขึ้น เทือกเขาหินบะซอลต์ที่เกิดจากภูเขาไฟทั้งลูกถูกเจาะสกัดให้กลายเป็นวัด วิหาร กุฏิสงฆ์ หอสวดมนต์ ด้วยเครื่องมือง่าย ๆ เท่าที่มนุษย์ในโลกยุคโบราณจะหาได้ ทั้งหมดสะท้อนถึงความวิริยะอุตสาหะ และพลังบางอย่างที่ซ่อนอยู่ในตัวผู้รังสรรค์สิ่งมหัศจรรย์เหล่านี้ขึ้น คูหาถ้ำที่เก่าแก่ที่สุดเริ่มสร้างครั้งแรกบริเวณตอนกลางหน้าผา ก่อนจะค่อย ๆ สร้างต่อขยายออกไปทางทิศตะวันตก และตะวันออก รวมทั้งสิ้น 30 คูหา คูหาถ้ำเหล่านี้ถูกสร้างขึ้นใน 2 ช่วงเวลา ระยะแรกสร้างขึ้นระหว่าง พ.ศ. 350–550 หรือราวพุทธศตวรรษที่ 4-6 ในยุคที่พุทธศาสนานิกายหินยาน หรือเถรวาทรุ่งเรือง ภายใต้การอุปถัมภ์โดยกษัตริย์ และคหบดีในช่วงราชวงศ์สาตวาหนะที่ปกครองพื้นที่บริเวณรัฐมหาราษฏร์ ก่อนที่พุทธแบบเถรวาทจะเริ่มเสื่อมความนิยมลง คูหาถ้ำได้รับการฟื้นฟู และก่อสร้างเพิ่มเติมขึ้นอีกในราวปลายพุทธศตวรรษที่ 10-13 ซึ่งตรงกับสมัยราชวงศ์วกาฏกะ พร้อมการเข้ามาของศาสนาพุทธนิกายมหายานซึ่งกำลังรุ่งเรือง ดังนั้นคูหาถ้ำทั้ง 30 แห่ง ในอชันตาจึงแบ่งเป็นถ้ำพุทธเถรวาทที่สร้างขึ้นในยุคแรกอายุราว 2,200 ปี จำนวน 6 แห่ง และถ้ำยุคที่ 2 ที่เป็นพุทธแบบมหายาน อายุราว 1,600 ปีลงมาอีกจำนวน 24 แห่ง ในราว พ.ศ. 1400 ลงมา เมื่อพุทธศาสนาในอินเดียเริ่มเสื่อมลง หมู่ถ้ำอชันตาก็ถูกทิ้งร้างให้กลืนหายไปท่ามกลางป่าเขา และสาบสูญไปจากความจดจำของโลก กระทั่งเมื่อ 200 ปีที่แล้ว อชันตาได้ถูกค้นพบอีกครั้ง พร้อมกับการเผยให้เห็นถึงพัฒนาการอันยิ่งใหญ่ของสถาปัตยกรรม ประติมากรรม และจิตรกรรม ทั้งหมดไม่เพียงทำให้ต่อมา อชันตาจะได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกทางวัฒนธรรมจากองค์การ UNESCO แต่ที่มากกว่านั้น..อชันตาคือจุดเชื่อมโยงอันทรงคุณค่าทั้งทางประวัติศาสตร์ และปรัชญาอันลึกซึ้งของพระพุทธศาสนาอย่างแท้จริง |
ความยาว | 18:35 นาที |
คำสำคัญ/ป้ายกำกับ | พุทธศาสนา อินเดีย ถ้ำอชันตา มหายาน เถรวาท |
นานกว่า 2 ศตวรรษแล้วที่ จอห์น สมิธ นายทหารชาวอังกฤษ ได้เข้ามาล่าเสือที่เทือกเขาอชันตา แห่งรัฐมหาราษฎร์ ทางตะวันตกเฉียงใต้ของอินเดียในปี พ.ศ. 2362 ตรงกับช่วงปลายสมัย ร. 2 ของไทย เหตุการณ์คราวนั้นนำมาสู่เหตุการณ์ครั้งสำคัญโดยบังเอิญ นั่นคือการค้นพบกลุ่มคูหาถ้ำจำนวนมาก ทั้งเถรวาท และมหายานที่เก่าแก่และใหญ่ที่สุดในโลกมีอายุกว่า 2,000 ปีล่วงมาแล้ว แต่ละคูหาถ้ำล้วนเต็มไปด้วยความงดงามอลังการทั้งสถาปัตยกรรม และจิตรกรรม แต่ที่สำคัญกว่านั้น คือการช่วยเติมเต็มเรื่องราวทางพุทธศาสนาในดินแดนชมพูทวีปให้มีความสมบูรณ์มากยิ่งขึ้น เทือกเขาหินบะซอลต์ที่เกิดจากภูเขาไฟทั้งลูกถูกเจาะสกัดให้กลายเป็นวัด วิหาร กุฏิสงฆ์ หอสวดมนต์ ด้วยเครื่องมือง่าย ๆ เท่าที่มนุษย์ในโลกยุคโบราณจะหาได้ ทั้งหมดสะท้อนถึงความวิริยะอุตสาหะ และพลังบางอย่างที่ซ่อนอยู่ในตัวผู้รังสรรค์สิ่งมหัศจรรย์เหล่านี้ขึ้น คูหาถ้ำที่เก่าแก่ที่สุดเริ่มสร้างครั้งแรกบริเวณตอนกลางหน้าผา ก่อนจะค่อย ๆ สร้างต่อขยายออกไปทางทิศตะวันตก และตะวันออก รวมทั้งสิ้น 30 คูหา คูหาถ้ำเหล่านี้ถูกสร้างขึ้นใน 2 ช่วงเวลา ระยะแรกสร้างขึ้นระหว่าง พ.ศ. 350–550 หรือราวพุทธศตวรรษที่ 4-6 ในยุคที่พุทธศาสนานิกายหินยาน หรือเถรวาทรุ่งเรือง ภายใต้การอุปถัมภ์โดยกษัตริย์ และคหบดีในช่วงราชวงศ์สาตวาหนะที่ปกครองพื้นที่บริเวณรัฐมหาราษฏร์ ก่อนที่พุทธแบบเถรวาทจะเริ่มเสื่อมความนิยมลง คูหาถ้ำได้รับการฟื้นฟู และก่อสร้างเพิ่มเติมขึ้นอีกในราวปลายพุทธศตวรรษที่ 10-13 ซึ่งตรงกับสมัยราชวงศ์วกาฏกะ พร้อมการเข้ามาของศาสนาพุทธนิกายมหายานซึ่งกำลังรุ่งเรือง ดังนั้นคูหาถ้ำทั้ง 30 แห่ง ในอชันตาจึงแบ่งเป็นถ้ำพุทธเถรวาทที่สร้างขึ้นในยุคแรกอายุราว 2,200 ปี จำนวน 6 แห่ง และถ้ำยุคที่ 2 ที่เป็นพุทธแบบมหายาน อายุราว 1,600 ปีลงมาอีกจำนวน 24 แห่ง ในราว พ.ศ. 1400 ลงมา เมื่อพุทธศาสนาในอินเดียเริ่มเสื่อมลง หมู่ถ้ำอชันตาก็ถูกทิ้งร้างให้กลืนหายไปท่ามกลางป่าเขา และสาบสูญไปจากความจดจำของโลก กระทั่งเมื่อ 200 ปีที่แล้ว อชันตาได้ถูกค้นพบอีกครั้ง พร้อมกับการเผยให้เห็นถึงพัฒนาการอันยิ่งใหญ่ของสถาปัตยกรรม ประติมากรรม และจิตรกรรม ทั้งหมดไม่เพียงทำให้ต่อมา อชันตาจะได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกทางวัฒนธรรมจากองค์การ UNESCO แต่ที่มากกว่านั้น..อชันตาคือจุดเชื่อมโยงอันทรงคุณค่าทั้งทางประวัติศาสตร์ และปรัชญาอันลึกซึ้งของพระพุทธศาสนาอย่างแท้จริง